LOFT-DR-02_AMAZING MOROCCO 10 DAYS
ขอนำท่านเดินทางสู่ ประเทศ “โมรอคโค” ดินแดนบนสุดของทวีปแอฟริกาตะวันตก ที่มีกลิ่นอายแห่งชาวแขกมัวร์ที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ชนพื้นเมืองชาวแอฟริกันเบอร์เบอร์ ที่มีรูปแบบวัฒนธรรมผสมผสานตะวันตก ด้วยระยะทางที่ถูกคั่นด้วยช่องแคบยิบรอลต้า ห่างจากยุโรปเพียง 14 กิโลเมตร
ทัวร์โมรอคโค 10 วัน 15-24 ตุลาคม 2559 ทัวร์คาซาบลังก้า ทัวร์มาราเกซ ทัวร์ราบัต ทัวร์เชฟชาอูน ทัวร์เมืองโรมันโวลูบิลิส ทัวร์เออฟอร์ด ทัวร์วอซาเซท
วันแรกของการเดินทาง กรุงเทพมหานคร-อาบูดาบี้
17.00 น. คณะพร้อมกัน ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ประตูทางเข้าหมายเลข 8-9 เคาน์เตอร์เช็คอินแถว Q สายการบิน Etihad Airways เจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกทางด้านเอกสารการเดินทาง และสัมภาระก่อนขึ้นเครื่อง
20.35 น. ออกเดินทางสู่ กรุงคาซาบลังก้า โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY401
วันที่สองของการเดินทาง อาบูดาบี้-เมืองคาซาบลังก้า-เมืองราบัต
00.10 น. เดินทางถึงสนามบิน กรุงอาบูดาบี้ (ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) แวะเปลี่ยนเที่ยวบิน
02.45 น. ออกเดินทางสู่ กรุงคาซาบลังก้า โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY613
08.35 น. เดินทางถึง สนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังก้า (Casablanca) Anfa International Airport ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง) (สายการบิน มีบริการอาหารเช้าบนเครื่อง) นำท่านผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่น
นำท่านเข้าชม สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 Mosque of Hassan II มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ (ชมด้านในสุเหร่า ซึ่งรวมค่าเข้าชมแล้ว) สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง มีหอประกาศเชิญชวนเมื่อเข้าเวลาละหมาดที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 210 เมตรชมทิวทัศน์รอบ ๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งทะเล ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
เดินทางสู่ เมืองราบัต นำท่านชมเมืองราบัตเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงและนำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม ชม สุเหร่าหลวง และ พระราชวังหลวง (ชมภายนอกเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เข้าชมภายใน) ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า เพื่อประกอบศาสนกิจ
ชม สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน มีทหารยามยืนเฝ้าทุกประตู เปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือ สุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศรวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183×139 เมตร
นำชม ป้อมไอดยะ Oudaya’S Kasbah ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด้านในเป็นเมดิน่าบ้านเรือนทาด้วยสีฟ้าสลับกับสี่ขาวดูสะอาดตา
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม
พักค้างคืน ณ โรงแรม Golden Tulip Farah Rabat 5* หรือเทียบเท่า (คืนที่ 1)
วันที่สามของการเดินทาง เมืองราบัต-เมืองแทนเจียร์-เมืองเชฟชาอูน
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ออกเดินทางสู่ เมืองแทนเจียร์ Tangier (ระยะทาง 250 กิโงเมตร ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) เป็นเมืองริมชายฝั่งและเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศโมรอคโค และอยู่ทางตอนใต้ของ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” ปัจจุบันเมืองท่าแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของโมรอคโค นอกจากนี้แล้วเมืองแทนเจียร์ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ไม่น้อยกว่าเมืองอื่นๆ อีกทั้งรอบ ๆ ตัวเมืองยังมีความโดดเด่นด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม รวมทั้งหาดทรายและผู้คนที่แสนจะเป็นมิตร สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองแทนเจียร์นั้น แน่นอนว่าสถานที่แห่งแรกที่จะแนะนำให้ไปเยือนคือ แกรนด์ ซัคโค Grand Socco หรือที่รู้จักกันว่า “บิ๊กสแควร์” จัตุรัสที่รายล้อมไปด้วยเขตเมืองเก่า หรือย่านเมดิน่า ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของเมืองแทนเจียร์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นตลาดหลักของเมืองอีกด้วย
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
ออกเดินทางสู่ เมืองเชฟชาอูน Chefchaouen (ระยะทาง 115 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใน หุบเขาริฟ Rif Mountain หรือ Er-Rif ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 538 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคได้รับเสรีภาพการปกครองประเทศทั้งหมด ในปี 1956 เมืองเชฟชาอูนเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และปัจจุบันนี้ประชากรมากกว่า 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาสเปนกันอย่างแพร่หลาย
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบและแสวงหาในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคที่มีสีฟ้าและสีขาว ท่านไม่ความที่จะพลาดเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ สาเหตุที่เมืองเชฟชาอูนถือว่าเป็นนสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยอย่างเฉพาะอย่างยิ่งสีฟ้า นั่นก็เพราะว่า เชฟชาอูนเป็นเมืองที่มีบ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใส ยิ่งวันที่มีท้องฟ้าโปร่งแล้ว มองไปมองมาดูคล้ายกับท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆมาบดบังความงามเลย
ในอดีตนั้นบ้านเรือนไม่ได้แต่งแต้มด้วยสีฟ้าอย่างปัจจุบัน เดิมบ้านที่สร้างอยู่ที่เชฟชาอูนจะเป็นสีขาวล้วน แต่ต่อมามีชาวยิวและชาวมุสลิมที่เป็นผู้อพยพมาจากสเปน ซึ่งเป็นประชากรดั้งเดิมของเมือง สมัยก่อนชาวมุสลิมมักจจะทาสีเขียวไว้ที่ประตูบ้านซึ่งเป็นสี่สำคัญทางศาสนาอิสลาม แต่แล้วภายหลังชาวยิวได้ริเริ่มที่จะทาสีช่วงล่างของบ้านให้เป็นสีฟ้าในช่วงยุค 1930
จากนั้นเป็นต้นมาทั้งชาวยิวและชาวมุสลิมในเมืองเชฟชาอูนก็ทางสีบ้านเป็นสีฟ้ามาตลอดจวบจนปัจจุบัน ซึ่งความนิยมในการทางประตูสีฟ้าก็กระจายอยู่ในหลาย ๆ เมืองในภูมิภาคนี้อย่างเช่น Sidi Bou Said เมืองทางตอนเหนือของประเทศตูนีเซีย เมืองเชฟชาอูนเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมบ้านเรือนได้ทั่วทั้งเมือง โดยที่สถาปัตยกรรมของเมืองเชฟชาอูนนั้นเป็นแบบโมรอคโค ดังนั้นซุ้มประตูโค้งจึงสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งเมือง
นอกจากนั้นยังมีน้ำพุที่ปูด้วยกระเบื้องโมเสกแบบโมรอคโคให้เห็นได้ตามมุมต่าง ๆ เชฟชาอูนเป็นเมืองที่สงบและเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องความกลมกลืนและปรองดองกันระหว่างชาวยิวและชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้ว่าจะเป็นสองสีที่แตกต่างกัน สีเขียวและสีฟ้า แต่คนในหมู่บ้านก็มีความรักใคร่กันเป็นอย่างดี
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม
พักค้างคืน ณ โรงแรม Atlas Chaouen 4* หรือเทียบเท่า (คืนที่ 2)
วันที่สี่ของการเดินทาง เมืองเชฟชาอูน-เมืองโรมันโวลูบิลิส-เมืองแมคเนส-เมืองเฟซ
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ เมืองโรมัน โวลูบิลิส Roman Volubilis (ระยะทาง 194 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) อดีตเมืองโบราณแห่งจักวรรดิโรมันที่มีความสำคัญยิ่งใหญ่ในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเหลือแต่เพียงซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ก็ยังสามารถที่จะพอได้เห็นร่องรอยของความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองโรมัน โวลูบิลิส แห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1997
ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางโดยรถโค้ชสู่ เมืองแมคเนส Meknes (ระยะทาง 32 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที) อดีตเมืองหลวงของโมรอคโค ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองราบัต เคยเป็นฐานทัพทางการทหารที่สำคัญตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ใช้เป็นเมืองหลวงในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตเมืองหลวงแห่งอื่น ๆ ของโมรอคโคแล้ว แมคเนสเป็นเมืองหลวงที่มีระยะเวลาสั้นที่สุดเพียง 50 ปีเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเมืองแมคเนสแห่งนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบมัวร์-สเปนิช ที่งดงามมากมาย เช่นที่พบในสถาปัตยกรรมแบบมุสลิมของสเปนตอนใต้
ชมกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่า ที่มีความยาวประมาณ 40 กิโ,เมตร ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู ชม ประตูบับมันซู Bab Mansour Monumental Gate ที่ได้ชื่อว่าเป็นประตูที่มีความสวยที่สุด เป็นเหมือนยอดมงกุฎ ตกแต่งด้วยโมเสด ไม้สลักสวย ๆ ผสมกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมแบบยุโรป และกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด สีสันสวยงามสดใส และในเขตเมืองเก่าของแมคเนส ยังมีประตูที่สวยงามอีกหลายแห่งให้ท่านได้สัมผัส
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
ออกเดินทางสู่ เมืองเฟซ Fes (ระยะทาง 65 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) ซึ่งยังคงมีบรรยากาศของเมืองโบราณที่ผู้คนยังใช้ลาเป็นพาหนะและบรรทุกของกันอยู่ สัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าแก่ที่สุดในบรรดาเมืองอิมพีเรียลทั้งสี่ นำท่านเที่ยวชม เมืองเฟซ Fes เมืองเหลวงเก่าใน ศตวรรษที่ 8 ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโค
เริ่มด้วย จุดชมวิวบนป้อมปราการแห่งราชวงศ์ซาเดียน ต่อด้วยชม ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟซ The Royal Palace ที่มีทหารยามยืนเฝ้าหน้าประตูอย่างสง่างาม ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่ง แต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา (ประเทศอิสราเอล) คงเหลือชาวยิวอยู่ไม่มากนัก
ชุมชนชาวยิว The Synagouge ที่มาอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 7 ซึ่งกระจายอยู่ทุกเมืองในอดีต ชาวยิวเป็นชนชาติที่ขยัน ฉลาด ส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นพ่อค้า จึงทำให้สุลต่านและกษัตริย์ในอดีตนำชาวยิวมาเป็นบริวารอยู่โดยรอบวัง เพื่อการเก็บภาษีจากการค้าได้ง่ายขึ้น จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าสู่ เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดิน่าเมืองเฟซ ผ่านประตู Bab Bou Jelound ที่สร้างตั้งแต่ปี 1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้าวปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่าง ๆ นานาชนิด
ชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย Merdersa Bou Imania ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีตในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 10,000 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 เซนติเมตร ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่าง ๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็ก ๆ ที่หน้าร้านจะมีหม้อ กระทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรหมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักรสาน งานแกะสลักไม้ และ ย่านเครื่องเทศ Souk El Attarine ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รส และกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านจะได้พบกับ
น้ำพุธรรมชาติ Nejjarine Fountain เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าไปในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกตามมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็ก ๆ อยู่บริเวณตามทางเดินแคบ ๆ ในเขตเมืองเก่า บางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น ผ่านชม สุเหร่าโคเราวีน Kairaouine Mosque ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) จากนั้นนำท่านเดินชม ย่านเครื่องหนัง และแวะชม บ่อฟอกหนังและย้อมสีหนังแบบโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองฟซ ถูกอนุรักษ์โดยองค์การยูเนสโก้ ทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ของการเดินเที่ยวชมเมืองที่ต้องเดินแหวกว่ายเข้าไปในกลุ่มคนชาวพื้นเมือง ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น เมืองเฟซจึงเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดในการเยื่อเป็นอย่างยิ่ง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักค้างคืน ณ โรงแรม Palais Medina & Spa 5* หรือเทียบเท่า (คืนที่ 3)
วันที่ห้าของการเดินทาง เมืองเฟซ-อิเฟรน-มิเดลท์-เออฟอร์ด-เมอร์ซูก้า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอิเฟรน Ifrane (ระยะทาง 65 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชั่วโมง) เป็นเมืองที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,650 เมตร ที่พักตากอากาศซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างขึ้นบริเวณนี้ ในช่วง ค.ศ. 1930 บางครั้งเรียกว่า เจนีวาแห่ง
โมรอคโค บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน เดินทางเส้นทางนี้ผ่านเทือกเขาแอตลาส ชื่อที่คุ้นเคยกันมานานสองข้างทางเปลี่ยนสภาพจากความแห้งแล้งเป็นป่าไม้ พุ่ม และสลับกับความแห้งแล้งของภูเขา ผ่าน Ziz Valley ก่อนข้าม Middle Atlast ผ่านเมือง Midelt
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวันระหว่างทางที่ Midelt
นำท่านเดินทางเข้าสู่เส้นทางแห่งทะเลทราย ผ่านชม หุบเขาดาเดส Dades Gorge แนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ โดยจุดหมายอยู่ที่ เมืองเออฟอร์ด Erfoud ซึ่งเป็นโอเอซิส Oasis ศูนย์กลางทางการค้าขายของกองคาราวานซึ่งเดินทางมาจากซาอุดิอาระเบีย Saudi Arabia และซูดาน Sudan
เดินทางสู่ เมืองเมอร์ซูก้าร์ โดย นำท่านนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD ไปท่อง ทะเลทรายซาฮาร่า Sahara เป็นทะเลทรายในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลทรายในทวีปแอนตาร์กติกา) และเป็นทะเลทรายร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโลก ณ เมืองเมอร์ซูก้า Merzouga ลัดเลาะของทะเลทรายสู่เขตซาฮาร่า นำท่านเปลี่ยนเป็น รถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4×4 เดินทางสู่ ทะเลทราย ซาฮาร่า Sahara Desert
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พักค้างคืน ณ โรงแรม Auberge Tombouctou Hotel 4* หรือเทียบเท่า (คืนที่ 4)
วันที่หกของการเดินทาง เมืองเมอร์ซูก้า-ทอด้าจอร์จ-เมืองทินเฮียร์-เมืองวอซาเซท
เช้าตรู่ นำท่านขี่อูฐ สู่เนินทรายอันกว้างใหญ่สุดสายตา เพื่อรอชม พระอาทิตย์ทอแสงยามเช้าแสงทองยามเช้าสาดสู่ทำเลทราย เป็นบรรยากาศยามเช้าที่คุณจะประทับใจมิรู้ลืม
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ ทอดร้าจอร์จ Todra George ชมความงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส ลำน้ำเกลือที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาที่สูงชันแปลกตา เป็นแหล่งปีนหน้ผาสำหรับนักเสี่ยงภัยทั้งหลาย นำท่านเดินทางสู่ หุบเขาดาเดส Dades Gorge แนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกรัดกร่อนจากแรงลมทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่าง ๆ สวยงาม แวะชม โอเอซิส Tinegir ชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกันท่ามกลางความแห้งแล้ง ยังมีความชุ่มชื้นของโอเอซิส ต้นปาล์ม เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากวอซาเซท
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
นำท่านเดินทางเดินทางต่อตามถนนคาชบาห์ที่มีป้อมหลายร้อยแห่งตั้งเรียงรายตามถนนดังกล่าวสู่เมืองวอซาเซท Ouarzazate เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ (พ.ย.-เม.ย.) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขาแอตลาสที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซทอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ใหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ จุดกึ่งกลางแห่งนี้และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่าง ๆ ได้ทุกวัน
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารพื้นเมือง
พักค้างคืน ณ โรงแรม Ibiss Ouarzazate 3* Superior หรือเทียบเท่า (คืนที่ 5)
วันที่เจ็ดของการเดินทาง เมืองวอซาเซท-เมืองไอท์ เบนฮาดดู-เมืองมาราเกซ
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำชม ป้อมทาเริท Kasbah Taourirt เป็นป้อมแห่งตระกูลกลาวี ภายใต้หมู่อาคารขนาดใหญ่ ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องต่าง ๆ จำนวนมากซ่อนอยู่เชื่อมต่อกันด้วยถนนเล็ก ๆ และเส้นทางลับคดเคี้ยวตามอาคารที่เบียดเสียดกัน พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ ตระกูลกลาวี Glaoui Palace อยู่ภายใน ซึ่งยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง
ในยุคของตระกูล Glaoui ที่นี่มีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า องค์การยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู Ait Benhaddou
ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมที่งดงามและมีความใหญที่สุดในโมรอคโค ภาคใต้ คือ ป้อมไอท์ เบนฮาดดู Kasbash of Ait Ben Hadou เป็นป้อมหินทรายซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่องที่โด่งดัง อาทิ Lawrence of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารพื้นเมือง
นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองมาราเกซ Marakesh ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงสมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศตวรรษที่ 11 ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด
สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกซเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A City of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้ นำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก เพื่อเตรียมตัวพบกับความอลังการของโชว์ในค่ำคืน
พิเศษ!!! นั่งรถม้า ชมความงามรอบเมืองมามาเกซ เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่น่าหลงใหล นั่งบนรถม้าดูความสับสนวุ่นว่ายกับการใช้ชีวิตของชาวเมือง เพลิดเพลินกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมของโมรอคโคขนานแท้ของมาราเกซ ซึ่งเป็นอีกจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวต่างใฝ่ฝันที่จะมาเยือนดินแดนแห่งนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ที่ Chez Ali Fantasia ท่านจะได้ตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของสถานที่และสีสันของชาวโมรอคกันที่ต้อนรับท่านด้วยอาหารประจำชาติและพร้อมชมการแสดงขี่ม้า ยิงปืน ขบวนพาเหรดที่สวยงาม
พักค้างคืน ณ โรงแรม Atlas Medina & Spa 5* หรือเทียบเท่า (คืนที่ 6)
วันที่แปดของการเดินทาง เมืองมาราเกซ-เมืองคาซาบลังก้า
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม มัสยิดคูตาเบีย Koutoubia Mosque ซึ่งเป็นมัสยิดใหญ่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไม่ว่าจะเดินไปแห่งใดในตัวเมืองก็จะเห็นมัสยิดนี้ได้ จากหอบังที่มีคามสูง 226 ฟิต (70 เมตร) (ถ่ายรูปเฉพาะด้านนอก ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายในได้) จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมชม พระราชวังบาเฮีย Bahia Palace เป็นพระราชวังของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมออกเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลาย ๆ อย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น Stucco มีการวาดลายบนไม้และประดับประดาด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงามละเอียดอ่อนมาก
เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
จากนั้นนำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง Djemaa Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวาที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝากของที่ระลึกพื้นเมืองต่าง ๆ ได้ที่ ตลาดเก่า Old Market ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน ได้เวลาพอสมควรนำท่านชม สวนจาร์ดีน มาจอแรล Jardin Majorelle หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ Yves Saint Laurent Gardens ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของสาว ๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์แห่งปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ในช่วงที่โมรอคโคตกเป็นอณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์มาที่ประเทศโมรอคโค เพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ บ้านหลังนี้เคยตกเป็นของเศรษฐีแห่งมาราเกซ หลังจากยิปแซงมาเยือนมาราเกซก็ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้ และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เพื่อเป็นที่พักผ่อน ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยใช้สีฟ้าและสีส้มเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน และชมนานาพรรณของต้นไม้แห่งทะเลทรายที่จัดได้อย่างสวยงามลงตัว จากนั้นนำท่านเดินกลับสู่ เมืองคาซาบลังก้า อีกครั้ง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารภายในโรงแรม
พักค้างคืน ณ โรงแรม Golden Tulip Farah Casablanca 5* หรือเทียบเท่า (คืนที่ 7)
วันที่เก้าของการเดินทาง เมืองคาซาบลังก้า-กรุงอาบูดาบี้-กรุงเทพมหานคร
เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบิน เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับสู่กรุงเทพมหานคร
11.25 น. ออกเดินทางสู่ กรุงเทพมหานคร โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY612
22.20 น. เดินทางถึงสนามบิน กรุงอาบูดาบี้ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (แวะเปลี่ยนเที่ยวบิน)
23.30 น. ออกเดินทางสู่ กรุงเทพมหานคร โดยสายการบิน Etihad Airways เที่ยวบินที่ EY406
วันที่สิบของการเดินทาง กรุงเทพมหานคร
09.10 น. เดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ
Period
อัตราค่าบริการทัวร์ Amazing Morocco 10 วัน
อัตราค่าบริการดังกล่าวนี้รวม
อัตราค่าบริการดังกล่าวนี้ไม่รวม
การจองและการชำระเงิน
LOFT-EUR59_Autumn Croatia world heritage site 8 Days 5 Nights (OS) นำชมเมืองเก่าดูบรอฟนิก (Grad) โดยเริ่มต้นจากประตูหลัก (Pile Gate),…
LOFT-EUR32_Autumn Best of Germany 11D8N (TG) ชมมหาวิหารโคโลญจน์ ชาวเยอรมันเรียกว่า DOM วิหารแห่งนี้ใหญ่และสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค สถาปัตยกรรมโบราณในยุคกลาง งานศิลปะ…
LOFT-EUR33_Autumn_Grand Eastern Europe 10 Days 7 Nights (TG) ชมปราสาทแห่งกรุงปร๊าก สถาปัตยกรรมโบราณสมัย ค.ศ. 11 แบบ กอธิค เคยได้รับการรับรองจากกินเนสส์บุ๊ก…
LOFT-EUR35A_Autumn Great Britain 10D7N (TG) เที่ยวชมเมืองเอดินเบอระ แคลตันฮิลล์ บนเนินเขาแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์สถานรำลึกถึงสงครามนโปเลียน สถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงมหาวิหารแพนธีออน ในประเทศกรีซ ทำให้ เอดินเบอระได้รับการขนานนามว่า “เอเธนส์แห่งทิศเหนือ” ถนนรอยัลไมล์ ถนนสายสำคัญ…
LOFT-EUR71A_Autumn Norway Lofoten northern light 11D8N (TG) นำคณะออกจากที่พักเพื่อไปชมปรากฏการณ์แสงเหนือ บริเวณใกล้ทะเลสาบ Tornetrask และอุทยานแห่งชาติอบิสโก ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาปรากฏการณ์แสงเหนือ เป็นจุดที่มีโอกาสในการเห็นแสงเหนือบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน Lonely Planet…
LOFT-EUR28B_Autumn Beautiful North Italy 8D5N เดินทางสู่ โดโลไมท์ (Dolomites Mountains) ชมความงดงามของอิตาเลียนแอลป์ เทือกเขาโดโลไมท์ ได้ชื่อว่าเป็นแนวเขาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในช่วงฤดูหนาวสกีรีสอร์ทเปิดต้อนรับนักสกี และในฤดูร้อน ที่นี่ยังมีทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้สวยตลอดช่วงเทือกเขา…